“ไกล่เกลี่ยก่อนฟ้อง : เครื่องมือฟื้นคืนความร่วมมือในกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี”

บริบทและปัญหา
กองทุนพัฒนาบทบาทสตรีถือเป็นกลไกสำคัญในการส่งเสริมศักยภาพทางเศรษฐกิจและสังคมของผู้หญิงไทยทั่วประเทศ โดยสนับสนุนเงินทุนหมุนเวียนให้กลุ่มสตรีนำไปประกอบอาชีพ สร้างรายได้ และพัฒนาคุณภาพชีวิตในระดับชุมชน
อย่างไรก็ตาม ในการดำเนินงานจริง กลุ่มสตรีบางแห่งประสบปัญหา “หนี้ค้างชำระ” หรือ “หนี้เกินกำหนดชำระ” อันเกิดจากภาวะเศรษฐกิจ การขาดความเข้าใจในระบบบริหารกองทุน หรือการเปลี่ยนแปลงภายในกลุ่ม เช่น การย้ายถิ่นฐาน การหยุดกิจกรรม หรือความขัดแย้งภายใน ส่งผลให้การติดตามหนี้ด้วยกระบวนการปกติทำได้ยาก และหากนำเข้าสู่กระบวนการศาลย่อมสร้างภาระและความขัดแย้งเพิ่มขึ้นในชุมชน
จึงเกิดแนวทางในการใช้เครื่องมือในการบริหารจัดการหนี้ของกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีที่สอดคล้องกับ พระราชบัญญัติการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท พ.ศ. 2562 และ มาตรา 20 ตรี แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง คือ “การไกล่เกลี่ยก่อนฟ้อง” เพื่อคืนความร่วมมือและรักษาสัมพันธภาพของสมาชิกในชุมชนอย่างสันติ
“เมื่อใครอีกคนรับชำระ — ขอบเขตการไกล่เกลี่ยก่อนฟ้องกับการโอนหนี้”
(บทเรียนและแนวปฏิบัติสำหรับกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี)
ปัญหาที่พบและความสำคัญ
ในเวทีไกล่เกลี่ยข้อพิพาทก่อนฟ้องของกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี มักพบกรณีที่บุคคลภายนอก (เช่น สามี ญาติ หรือบุคคลรับผิดชอบทางการเงิน ในที่นี้ขอไม่นับรวมกรณีบุคคลที่เกี่ยวข้องที่ต้องแยกฟ้องในฐานะกรณีอื่นไปก่อนนะครับ) เข้ามาช่วยชำระหนี้แทนสมาชิกที่เป็นผู้กู้เดิม ในหลายครั้งการช่วยชำระทำให้เรื่องยุติได้ แต่ในบางกรณีผู้รับชำระอ้างว่า “จะรับเป็นลูกหนี้แทน” (รับช่วงหนี้) และต้องการให้ข้อความนี้บันทึกไว้ในบันทึกการไกล่เกลี่ย
คำถามสำคัญคือ บันทึกการไกล่เกลี่ยเพียงฉบับเดียวในกระบวนการก่อนฟ้อง สามารถทำให้คนนอกกลายเป็นลูกหนี้แทนลูกหนี้เดิมได้หรือไม่? คำตอบมีผลต่อความชัดเจนทางกฎหมายและความเสี่ยงของกองทุนอย่างมาก และคำตอบทางกฎหมายก็ชัดเจนว่ามีข้อจำกัด (และเหตุผล) ตามบทบัญญัติที่เกี่ยวข้อง
กรอบกฎหมายที่เกี่ยวข้อง (ขอสรุปเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องและนำมาบริหารจัดการหนี้สตรีก่อนนะครับ)
- พระราชบัญญัติการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท พ.ศ.2562 กล่าวคือ กำหนดกรอบการไกล่เกลี่ยข้อพิพาททั้งในและก่อนการฟ้องคดี เพื่อให้การตกลงระงับข้อพิพาทมีผลตามกฎหมายในลักษณะที่กำหนดไว้ (กระบวนการ ไทม์ไลน์ และขอบเขตการไกล่เกลี่ย)
- ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 20 ตรี (เพิ่มเติมโดย พ.ร.บ.แก้ไขฯ ฉบับที่เกี่ยวข้อง) ตรงนี้เป็นบทบัญญัติทางกระบวนพิจารณาว่า ก่อนยื่นฟ้อง คู่ความสามารถยื่นคำร้องขอให้ศาลแต่งตั้งผู้ประนีประนอมเพื่อไกล่เกลี่ยก่อนฟ้องได้ รวมทั้งกำหนดรูปแบบการยื่นคำร้องและผลทางขบวนการที่เกี่ยวข้อง ข้อกฎหมายนี้เป็นฐานให้กระบวนการไกล่เกลี่ยก่อนฟ้องมีผลในเชิงกระบวนพิจารณา
- ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (หมวด ‘แปลงหนี้ใหม่’ มาตรา 349–352) โดยระบุหลักการว่า “การแปลงหนี้ (novation/transfer of debt)” ซึ่งรวมถึงการเปลี่ยนตัวลูกหนี้ จะทำให้หนี้เดิมระงับและเกิดหนี้ใหม่ขึ้นได้ แต่การจะให้ผลดังกล่าวอย่างสมบูรณ์ ต้องเป็นนิติกรรมตามแบบที่กฎหมายกำหนด (รวมความยินยอมของเจ้าหนี้และรูปแบบข้อบังคับตามบทบัญญัติ) กล่าวคือ การ ‘รับเป็นลูกหนี้แทน’ ต้องมีรูปแบบสัญญา/หนังสือแสดงเจตนา มิใช่ทำเพียงในข้อความบันทึกไกล่เกลี่ยโดยไม่มีสัญญาแยก
แล้วทำไม “บันทึกการไกล่เกลี่ย” เพียงอย่างเดียวจึงไม่พอ เมื่อมีการอ้าง “รับเป็นลูกหนี้แทน”
- ขอบเขตอำนาจของไกล่เกลี่ยก่อนฟ้อง กล่าวคือ การไกล่เกลี่ยก่อนฟ้องถูกออกแบบเพื่อให้คู่กรณีเดิมตกลงยุติข้อพิพาท โดยศาล/ผู้ประนีประนอมจะรับรองข้อตกลงตามกระบวนการที่กฎหมายกำหนด แต่เมื่อมี บุคคลภายนอกเข้ามาเป็นคู่สัญญาใหม่ (คู่กรณีใหม่) ข้อตกลงจะเปลี่ยนสถานะจากการยุติข้อพิพาทเดิมไปเป็นการสร้างความสัมพันธ์ทางหนี้แบบใหม่ ซึ่งเกินขอบเขตของการไกล่เกลี่ยต้นเรื่องหากไม่ได้จัดการเชิงนิติกรรมที่ถูกต้อง
- การแปลงหนี้ (novation) ต้องมีเจตนาและรูปแบบชัดเจน กล่าวคือ ถ้าต้องการให้ลูกหนี้เดิมพ้นจากภาระ ต้องมีการทำสัญญาโอนหนี้/รับช่วงหนี้เป็นลายลักษณ์อักษร ระบุคู่กรณีทั้งสามฝ่าย (เจ้าหนี้ ลูกหนี้เดิม ลูกหนี้ใหม่) และมีเจตนาแสดงชัดว่าหนี้เดิมจะระงับและหนี้ใหม่เกิดขึ้น (หรือเจ้าหนี้ยอมให้โอน) การจดข้อความไว้เพียงในบันทึกไกล่เกลี่ยอาจขาดองค์ประกอบดังกล่าวและไม่เพียงพอทางนิติ
- ความเสี่ยงต่อกองทุน กล่าวคือ หากการยอมรับ “รับเป็นลูกหนี้ใหม่” ถูกบันทึกไว้โดยไม่มีสัญญาแยก เมื่อคนนอกไม่ปฏิบัติตาม เจ้าหนี้/กองทุนอาจเผชิญปัญหาในการบังคับสิทธิหรือพิสูจน์ว่าได้ ‘โอน’ หนี้จริง ๆ เพราะเอกสารไม่ครบถ้วน หรืออาจต้องฟ้องพิสูจน์ความสัมพันธ์ใหม่ (คดีแตกต่าง/คดีใหม่) ซึ่งทำให้กระบวนการซับซ้อนและเพิ่มภาระค่าใช้จ่าย
กล่าวโดยสรุป
กรณี “คนนอกรับชำระ/รับเป็นลูกหนี้แทน” พอกลายเป็นข้อพิพาทเชิงนิติกรรม จะไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการใส่ข้อความในบันทึกการไกล่เกลี่ยเพียงอย่างเดียว หากต้องการให้ผลทางกฎหมายที่ชัดเจนและปลอดภัย ต้องจัดทำ ‘สัญญาโอนหนี้/รับช่วงหนี้’ เป็นหนังสือแยก โดยมีความยินยอมของเจ้าหนี้ ลูกหนี้เดิม และลูกหนี้ใหม่ตามบทบัญญัติของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และแนบเอกสารดังกล่าวไว้ในบันทึกการไกล่เกลี่ยก่อนฟ้องตามกรอบของ พ.ร.บ.การไกล่เกลี่ยข้อพิพาท พ.ศ.2562 และมาตรา 20 ตรี แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง เพื่อให้กระบวนการชัดเจน ถูกต้อง และบังคับใช้ได้จริงในภายหลัง
✍️ เรียบเรียงโดย : ว่าที่ร้อยตรีธีรพล ไชยคำ นักวิชาการพัฒนาชุมชนชำนาญการพิเศษ
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง :