49 ปี รำลึก 6 ตุลาคม 2519

โศกนาฏกรรม 6 ตุลา : บาดแผลประวัติศาสตร์การเมืองไทยที่ยังไม่จางหาย

เหตุการณ์สังหารหมู่นักศึกษาและประชาชนในวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ และท้องสนามหลวง นับเป็นหนึ่งในโศกนาฏกรรมทางการเมืองที่ดำมืดและรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ไทยสมัยใหม่ เหตุการณ์นี้ไม่เพียงแต่ยุติยุค “ประชาธิปไตยเบ่งบาน” ที่เกิดขึ้นหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 แต่ยังทิ้งรอยแผลลึกไว้ในสังคมไทยมาจนถึงปัจจุบัน

เช้าตรู่ของวันที่ 6 ตุลาคม 2519 เจ้าหน้าที่ตำรวจและกองกำลังกึ่งทหารฝ่ายขวาที่จัดตั้งโดยรัฐ ได้แก่ “กระทิงแดง” และ “ลูกเสือชาวบ้าน” ได้ใช้กำลังอาวุธเข้าสลายการชุมนุมของนักศึกษาและประชาชนที่กำลังประท้วงการเดินทางกลับประเทศของจอมพลถนอม กิตติขจร อดีตนายกรัฐมนตรีที่ถูกขับไล่ออกจากประเทศหลังเหตุการณ์ 14 ตุลา การปราบปรามเป็นไปอย่างโหดเหี้ยมและไร้มนุษยธรรม มีการใช้อาวุธสงครามยิงถล่มเข้าไปในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางของการชุมนุม

ผู้ชุมนุมจำนวนมากเสียชีวิตและบาดเจ็บจากการถูกยิง บางส่วนถูกสังหารอย่างทารุณกรรม เช่น การทุบตี แขวนคอ และเผาทั้งเป็น ภาพความรุนแรงที่เกิดขึ้นในวันนั้นได้ถูกบันทึกไว้และกลายเป็นหลักฐานสำคัญของความโหดร้ายที่รัฐกระทำต่อประชาชน ยอดผู้เสียชีวิตอย่างเป็นทางการอยู่ที่ 45 ราย แต่คาดการณ์ว่าจำนวนผู้เสียชีวิตที่แท้จริงอาจสูงกว่านั้นมาก

ชนวนเหตุแห่งความรุนแรง

เหตุการณ์ 6 ตุลาไม่ได้เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน แต่เป็นผลพวงของความขัดแย้งทางการเมืองและอุดมการณ์ที่สั่งสมมาเป็นเวลานาน บริบทสำคัญที่นำไปสู่โศกนาฏกรรมครั้งนี้ ได้แก่

การกลับมาของจอมพลถนอม กิตติขจร กรณีของการเดินทางกลับประเทศในคราบสามเณรของจอมพลถนอม ได้ปลุกกระแสความไม่พอใจในหมู่นักศึกษาและประชาชนที่เคยต่อสู้ขับไล่ระบอบเผด็จการทหารของเขาออกไป การชุมนุมประท้วงจึงเริ่มต้นขึ้นเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลของ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ดำเนินการให้จอมพลถนอมออกจากประเทศ

กระแสหวาดกลัวคอมมิวนิสต์ ในช่วงเวลานั้น สงครามเย็นกำลังคุกรุ่น ประเทศเพื่อนบ้านของไทยหลายแห่งได้เปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบคอมมิวนิสต์ ทำให้กลุ่มฝ่ายขวาและทหารในไทยเกิดความหวาดระแวงว่าขบวนการนักศึกษาและฝ่ายซ้ายกำลังจะนำพาประเทศไปสู่ทิศทางเดียวกัน

การปลุกระดมของสื่อฝ่ายขวา สถานีวิทยุและหนังสือพิมพ์ของฝ่ายขวา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “วิทยุยานเกราะ” มีบทบาทสำคัญในการโหมกระพือความเกลียดชังต่อนักศึกษา โดยกล่าวหาว่าเป็น “คอมมิวนิสต์” “หนักแผ่นดิน” และ “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” ผ่านการบิดเบือนข้อมูลและสร้างข่าวปลอม เช่น กรณีการแสดงละครล้อเลียนการแขวนคอพนักงานการไฟฟ้า 2 รายที่จังหวัดนครปฐม ซึ่งถูกนำไปขยายผลว่าเป็นการหมิ่นพระบรมโอรสาธิราชฯ

ความแตกแยกทางการเมือง สังคมไทยในขณะนั้นมีความแตกแยกทางความคิดอย่างรุนแรงระหว่างฝ่ายซ้ายที่ต้องการการปฏิรูปสังคม และฝ่ายขวาอนุรักษ์นิยมที่ต้องการรักษาสถานะเดิมและมองว่าขบวนการนักศึกษาเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ ศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์

ลำดับเหตุการณ์สำคัญในวันที่ 6 ตุลาคม 2519

ช่วงเช้ามืด กองกำลังตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) และตำรวจนครบาล พร้อมด้วยกลุ่มฝ่ายขวา เริ่มเข้าปิดล้อมมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และใช้อาวุธสงครามยิงเข้าไปในมหาวิทยาลัยอย่างต่อเนื่อง

ช่วงสาย ความรุนแรงทวีความรุนแรงขึ้น มีการบุกเข้าไปในมหาวิทยาลัยและสังหารนักศึกษาและประชาชนอย่างโหดเหี้ยม มีการนำศพมาทารุณกรรมบริเวณท้องสนามหลวง

ช่วงเย็น เวลาประมาณ 18.00 น. พลเรือเอกสงัด ชลออยู่ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดในขณะนั้น ได้นำคณะนายทหารในนาม “คณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน” ทำการรัฐประหารยึดอำนาจจากรัฐบาล ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช โดยอ้างเหตุผลเรื่องความมั่นคงของประเทศและการกระทำอันเป็นภัยของกลุ่มนักศึกษา

ผลกระทบและมรดกของ 6 ตุลา

เหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 ได้ส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งและยาวนานต่อสังคมและการเมืองไทย

การสิ้นสุดของยุคประชาธิปไตย การรัฐประหารในเย็นวันที่ 6 ตุลา ได้ปิดฉากยุคประชาธิปไตยที่เบ่งบานมาเป็นเวลา 3 ปี และนำประเทศไทยกลับเข้าสู่วงจรของระบอบเผด็จการทหารอีกครั้ง

การปราบปรามฝ่ายซ้าย รัฐบาลที่มาจากการแต่งตั้งของคณะรัฐประหาร ซึ่งมีนายธานินทร์ กรัยวิเชียร เป็นนายกรัฐมนตรี ได้ดำเนินนโยบาย “ขวาพิฆาตซ้าย” อย่างเข้มข้น มีการกวาดล้างจับกุมนักศึกษา ปัญญาชน และผู้ที่มีแนวคิดฝ่ายซ้ายจำนวนมาก ทำให้หลายคนต้องหลบหนีเข้าป่าไปร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย

วัฒนธรรมลอยนวลพ้นผิด จนถึงปัจจุบัน ยังไม่มีผู้กระทำผิดหรือผู้สั่งการในเหตุการณ์สังหารหมู่ 6 ตุลาคนใดที่ถูกนำตัวมาลงโทษตามกระบวนการยุติธรรม ซึ่งได้สร้างวัฒนธรรมการลอยนวลพ้นผิดให้กับการใช้ความรุนแรงโดยรัฐในประวัติศาสตร์การเมืองไทย

บาดแผลและความทรงจำที่ถูกลืม แม้จะเป็นเหตุการณ์ที่สำคัญและสะเทือนขวัญ แต่ประวัติศาสตร์ 6 ตุลากลับไม่ค่อยถูกกล่าวถึงในแบบเรียนหรือการรับรู้ของสังคมในวงกว้าง ความพยายามในการรำลึกและเรียกร้องความยุติธรรมยังคงดำเนินต่อไปโดยกลุ่มญาติวีรชน นักกิจกรรม และนักวิชาการ เพื่อไม่ให้โศกนาฏกรรมครั้งนี้เลือนหายไปจากความทรงจำของสังคมไทย

Review Your Cart
0
Add Coupon Code
Subtotal

 
Scroll to Top